ฟิล์มกรองแสง
บ้านและอาคาร

ประโยชน์ของการติดฟิล์มกรองแสง

ช่วยปกป้องความร้อน

และป้องกันรังสี uv เมื่อคุณติดฟิล์มกับกระจกแล้ว ฟิล์มกรองแสงจะทำหน้าที่ลดความร้อน ให้มีความเย็นสบาย และป้องกันรังสี UV อันเป็นสาเหตุให้ผิวหมองคล้ำ และเกิดฝ้าริ้วรอย

  • Heat Resistance

สร้างความเป็นส่วนตัว

การติดฟิล์มกรองแสงอาคาร ไม่ว่าจะเป็นฟิล์มอาคาร ฟิล์มคอนโด ฟิล์มบ้านพักอาศัย ฟิล์มโรงงาน หรือฟิล์มกระจกทุกชนิด จะช่วยลดแสงจ้าไม่ให้แสบสายตา และสร้างความเป็นส่วนตัว ป้องกันการมองเห็นจากภายนอก ได้อีกด้วย

  • Privacy

ลดภาระค่าไฟฟ้า

การติดตั้งฟิล์มกรองแสง เพื่อป้องกันความร้อนนั้นนอกจากจะสร้างความเย็นสบายแล้ว ยังลดภาระค่าใช้จ่ายจากค่าไฟฟ้าของคอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศ เมื่ออุณหภูมิห้องลดลงจะทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าลดลงไปด้วย

  • Save energy & cost

สร้างความโดดเด่นทันสมัย

อาคารที่ได้รับการติดฟิล์มแล้วนั้น จะมีความสวยงามโดดเด่นขึ้นมาจากความเงางามของฟิล์มกรองแสงชนิดต่าง ๆ ที่ติดตั้งเข้าไปให้มีความโดดเด่นทันสมัยมากขึ้น

  • Significant modern
ฟิล์ม

SOLARGARD รับประกัน 8ปี

ฟิล์มกรองแสง Solar Gard ให้ทัศนวิสัยการมองเห็นที่ดี  ทั้งกลางวันและกลางคืน ป้องกันและลดความร้อน  ช่วยประหยัดการใช้พลังงาน ประหยัดงบประมาณในการจ่ายค่าไฟฟ้า ช่วยรักษาระดับอุณหภูมิภายใน อาคาร-บ้านเรือนให้เย็นสบายทุกส่วน  ที่ได้รับการพิสูจน์ว่าคาร์บอนเป็นลบ  ในกระบวนการผลิตฟิล์ม  โดยได้รับรองเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตปริ้นท์  แห่งสหรัฐอเมริกา ทำให้ช่วยลดภาวะเรือนกระจก  เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้รับความเชื่อถือ มั่นใจ และไว้วางใจ ในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัย

ฟิล์ม

HOME FILM รับประกัน 7ปี

ลักษณะฟิล์มเป็นฟิล์มลดความร้อนใช้ติดอาคารสำนักงาน เน้นลดความร้อนอย่างมาก จำนวนชั้นฟิล์มเยอะถึง 2LAYER เนื้อฟิล์มกาวทำมาเพื่อยึดเกาะกับกระจกได้ดี มาเพื่อติดตั้งฟิล์มอาคารโดยเฉพาะ

ฟิล์ม

Insulate IR.FILM รับประกัน 7ปี

ฟิล์มกรองแสงระดับพรีเมียม เพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค นำเข้าฟิล์มกรองแสงรถยนต์อัจฉริยะ Insulat IR Series ซีรี่ใหม่ล่าสุด ที่เป็นเทคโนโลยี Insulat IR ลิขสิทธิ์เฉพาะจากสหรัฐอเมริกา เคลือบด้วยชั้นไทเทเนียมไนไตรด (TiN) ช่วยกันความร้อนจากแสงแดดได้มากกว่าฟิล์มทั่วไปถึง 4 เท่า กันรังสียูวีได้เกือบ 100%

Insulat IR30 ช่วยป้องกันความร้อนจากแสงแดด 61%, Insulat IR40 ช่วยป้องกันความร้อนจากแสงแดด 54%, Insulat IR50 ช่วยป้องกันความร้อนจากแสงแดด 49% และ Insulat IR60 ช่วยป้องกันความร้อนจากแสงแดด 41% ซึ่งทั้งหมดสามารถกันรังสียูวีได้ถึง 99%

ฟิล์ม

3M

นวัตกรรมฟิล์มกรองแสงที่ได้รับการพัฒนาจากสถาบันวิจัยระดับโลกของ 3เอ็ม ด้วยเทคโนโลยีการผลิตแบบ “นาโนเทคโนโลยี” (Nano Technology) ซึ่งเป็นการนำฟิล์มใส (Optical Film) มาเรียงซ้อนกันมากกว่า 200 ชั้น แต่มีความบางน้อยกว่าแผ่น โพสต์-อิท? โน้ต ทำให้ฟิล์มกรองแสง “เพรสทีช” มีคุณภาพดีเยี่ยมในด้านความใส โดยชั้นฟิล์มไม่มีการเคลือบสารโลหะ จึงไม่มีผลกระทบต่อสัญญาณโทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ไร้สาย

ฟิล์ม

Vox รับประกัน 10ปี

เทคโนโลยีฟิล์มชั้นสูงแบบไม่มีสารโลหะ ดูดซับความร้อนไว้ที่เนื้อฟิล์ม ไม่มีแสงสะท้อน ไม่รบกวนสายคาผู้อื่น มีคุณสมบัติปกป้องรังสี
VOX UV400 The Ultimate Shield ผลิตด้วยเทคโนโลยี “นาโนเทคโนโลยี” (Nano Technology) ที่สุดของฟิล์มกรองแสงลดความร้อนและปกป้องรังสี UV 400/UVA1 ได้ 100% (รายแรกของโลก) ลดความร้อน (IR) ได้สูงสุด 93% และลดความร้อนรวมจากแสงแดด (TSER) ได้สูงสุด  86% ซึ่งนับได้ว่าเป็นฟิล์มกรองแสงเพียงรายเดียวในปัจจุบันที่มีคุณสมบัติดังกล่าว
ด้วยเทคโนโลยีการผลิตฟิล์มเพื่อใช้ในสถานีอวกาศขององค์การ NASA ซึ่งเป็นนวัตกรรมสูงสุดของโลก สามารถปกป้องอันตรายจากรังสีและความร้อนให้กับนักบินและสิ่งมีชีวิตในสถานีอวกาศ ซึ่งไม่มีชั้นบรรยากาศช่วยปกป้องรังสีและความร้อนจากดวงอาทิตย์

สาระน่ารู้

มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นรังสี ที่มีพลังงานสูงเกินแสงสีม่วงขึ้นไป หรือแสงอัลตราไวโอเลต อันได้แก่ รังสีเอกซ์ หรือเอกซเรย์ รังสีแกมมา และรังสีคอสมิก อีกด้านหนึ่ง มนุษย์ไม่สามารถมองเห็น รังสีที่เป็นพลังงานต่ำกว่ารังสีใต้แดง ซึ่งเรามักนิยมเรียกกันว่า เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อันได้แก่ คลื่นโทรทัศน์ คลื่นไมโคร คลื่นวิทยุ และคลื่นเรดาร์

รังสียูวี รังสีเอกซ์ รังสีแกมมา และรังสีคอสมิก รังสีเหล่านี้ ต่างก็ออกมาจากดวงอาทิตย์เช่นเดียวกัน เป็นรังสี ที่มีพลังงานสูงกว่า รังสีแสง จึงมักทำอันตราย ต่อร่างกายของมนุษย์ได้ เมื่อรับรังสีเหล่านี้ ปริมาณมากเกินไป รังสีเหล่านี้ก่อให้เกิด การแตกตัว เป็นไอออน ต่อสารเคมีในร่างกาย

สาระ V1

รังสีที่มีพลังงานต่ำกว่ารังสีใต้แดง เช่นคลื่นไมโคร หรือไมโครเวฟ ที่ใช้อุ่นอาหาร คลื่นเรดาร์ คลื่นโทรทัศน์ คลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์มือถือ คลื่นเอฟเอ็ม คลื่นเอเอ็ม และคลื่นยาว มีพลังงานต่ำ ไม่ก่อให้เกิดการแตกตัวเป็นไอออน ต่อสารเคมี ในร่างกาย จึงไม่ปรากฎอันตรายโดยตรง ต่อร่างกายของมนุษย์

มีข้อที่ควรระวัง สำหรับเครื่องรับโทรทัศน์ คือ การแปลงคลื่นโทรทัศน์ ให้เป็นคลื่นแสง เพื่อให้เราได้มองเห็น เป็นภาพบนจอโทรทัศน์นั้น ต้องผ่านกระบวนการเร่งพลังงาน ของอนุภาคอิเล็กตรอน ก่อให้เกิดรังสีเอ็กซ์ วิ่งออกมาโดยรอบ ซึ่งปกติเครื่องโทรทัศน์ ได้ถูกฉาบด้วยสารกั้นรังสีเอ็กซ์ไว้แล้ว เพื่อไม่ให้วิ่งออกมาสู่คนดูได้ แต่แนะนำให้ดูโทรทัศน์ ในระยะห่างเกิน 2 เมตร เพื่อความปลอดภัยจากรังสี ที่อาจเล็ดรอดออกมาสู่ตัวคนได้

เครื่องโทรศัพท์มือถือ ในการส่งเสียงขอเราออกไปจะ มีการเปลี่ยนแปลงสัญญาณเสียงของคน ให้เป็นสัญญานของคลื่นวิทยุ แล้วส่งออกไป ยังเสารับสัญญาณวิทยุ เพื่อส่งต่อออกไปยังดาวเทียม ในการรับโทรศัพท์มือถือ จะแปลงสัญญาณวิทยุ จากเสาส่งสัญญาณ เพื่อให้เป็นคลื่นเสียงที่ลำโพง เพื่อเข้าสู่หูของผู้รับฟัง ในการแปลงสัญญาณคลื่นวิทยุเหล่านี้ ถึงแม้ว่า จะไม่มีอันตราย ต่อผู้ใช้โทรศัพท์มือถือโดยตรง แต่นักวิทยาศาสตร์กำลังทำการศึกษา ดูผลต่อร่างกายของคน แต่ละชนิด ในระยะยาวต่อไป

เนื่องจากรังสีมีผลต่อร่างกายของมนุษย์ เราจึงสามารถแบ่งรังสี ออกเป็น 2 ชนิดคือ รังสีชนิดที่ก่อให้เกิดไอออน และรังสีทีไม่ก่อให้เกิดไอออน รังสีที่ก่อให้เกิดไอออน ต่อสารเคมีในร่างกายมนุษย์ จะเป็นรังสีที่มีพลังงานสูงกว่าแสง คือ รังสียูวี รังสีเอกซ์ รังสีแกมมา และรังสีคอสมิก รังสีที่ไม่ก่อให้เกิดไอออนต่อร่างกาย ได้แก่ รังสีที่มีพลังงานต่ำกว่าแสง เช่นรังสีความร้อน คลื่นไมโคร คลื่นเรดาร์ คลื่นวิทยุ (คลื่นโทรศัพท์มือ คลื่นเอฟเอ็ม คลื่นเอเอ็ม และคลื่นยาว)

 

แสงแดดประกอบด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหลายความยาวคลื่นด้วยกัน ขณะที่แสงอาทิตย์เดินทางผ่านเข้ามาสู่ชั้นบรรยากาศของโลก ความยาวคลื่นบางช่วงจะถูกดูดซับหรือไม่ก็สะท้อนกลับไป รังสีที่เหลือก็จะผ่านลงมาสู่พื้นผิวโลก เช่น รังสี UV และรังสีอินฟาเรด เป็นต้น

รังสี UV เป็นตัวที่เกี่ยวข้องกับพวกเรามากที่สุดในชีวิตประจำวัน เพราะมันสามารถทะลวงผ่านชั้นผิวหนังของเราได้ เป็นเหตุให้เกิดผลอื่นๆ ตามมา เช่น ผิวหมองคล้ำ ริ้วรอย ตีนกา มะเร็งผิวหนัง เป็นต้น

รังสี UV ประกอบด้วยกลุ่มคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหลายความยาวคลื่นด้วยกัน แบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้:-

รังสี UVC
เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 200-280 nm. ซึ่งเป็นช่วงความยาวคลื่นที่สั้นที่สุด จึงมีพลังงานมากที่สุดด้วย รังสี UVC เกือบทั้งหมดนี้จะถูกกรองที่ชั้นบรรยากาศของโลก และถึงแม้จะมีปริมาณเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้เกิดผื่นแดงและทำให้สีผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนได้

รังสี UVB
มีความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 280-320 nm. ซึ่งเป็นช่วงความยาวคลื่น ที่ทำให้เกิดผื่นแดงและไหม้เกรียมได้ เพราะมันสามารถทะลุผ่านผิวหนังชั้นสเตรตัม คอร์เนียม (Stratum corneum) และอีพิเดอมีส (Epidermis) ได้ รังสีนี้จะทำให้เกิดผลเสียต่อผิวหนังในทันที เช่น ผิวไหม้เกรียม ผื่นแดงเป็นต้น

รังสี UVA
มีช่วงความยาวคลื่นอยู่ที่ 320-360 nm. รังสีช่วงนี้จะมีพลังงานต่ำสุด แต่มีอำนาจทะลุทะลวงผ่านชั้นผิวหนังได้ลึกที่สุด และมีผลกระทบเป็นวงกว้างต่อโครงสร้างชั้นผิวหนัง รังสีนี้ในปริมาณน้อยก็สามารถทะลุผ่านชั้นหนังแท้ (Dermis) ได้ ซึ่งจะไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินได้มาก และเมลานินนี้จะไปปกป้องผิวจากการถูกทำลายอีกต่อ

รังสี UVB มีผลทำให้เกิดอาการผิวไหม้แดงได้เป็นส่วนใหญ่ และรังสี UVA ที่ปริมาณสูงก็ทำให้ผิวไหม้แดงได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ปริมาณรังสี UVA ที่ลงมาถึงผิวโลกจึงมีมากกว่ารังสี UVB มาก รังสี UVA ที่สูงนี้สามารถทะลุผ่านเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ และทำให้เกิดการทำลายโครงสร้างผิวตามมา เช่น คอลลาเจนและอีลาสติน เป็นต้น

ดังนั้นการสัมผัสกับแสงแดดนานๆ โดยเฉพาะรังสี UVA ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระที่ผิวหนังได้ และอนุมูลอิสระนี้จะไปทำลายเซลล์ผิวหนัง จากภายในเซลล์เอง และทำลายชั้นของเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้เกิดผิวหนังหมองคล้ำ หย่อนยาน เกิดรอยตีนกามากมาย ทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า แก่ก่อนวัยอันเกิดจากแสงแดด

ด้วยเหตุนี้ ครีมกันแดดจึงมีส่วนช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้ -- นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราจึงต้องใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน

แน่นอนว่า เราสามารถเปรียบเทียบดูผลของแสงแดดนี้ได้ โดยดูที่ใบหน้าของเรา กับผิวหนังที่บริเวณตะโพกของเราก็ได้ จะเห็นว่ามีความแตกต่างกันชัดเจน

หลายคนคงสงสัยว่าทำไมผลิตภัณฑ์หลายๆยี่ห้อถึงนิยมใส่สารกันความร้อนกับเสื้อผ้ากีฬา หรือเครื่องสำอางต่างๆ ผลิตภัณฑ์กอล์ฟเมทของเราก็ล้วนมี UV protection ทั้งนั้น เพื่อเหมาะแก่การสวมใส่ในที่โล่งแจ้ง บ้านเมืองของเราเป็นเมืองร้อน หน้าร้อนแดดจะแรงมาก เราจึงควรป้องกันผิวพรรณของเรา ไม่ให้ด่างดำ หรือเป็นมะเร็งแดดได้

วันนี้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับรังสีความร้อนมาให้เพื่อนๆ เข้าใจมากขึ้น เพื่อเราจะได้ปกป้องตัวเองได้อย่างถูกต้อง

รังสี มี 2 ประเภท คือ UVA และ UVB

รังสี UV คือรังสีคลื่นความถี่สั้น มีพลังงานมากที่สุดในบรรดารังสีที่ส่องจากดวงอาทิตย์ถึงพื้นโลก UVA และ UVB ส่องถึงพื้นโลกโดยไม่ถูกชั้นบรรยากาศดูดซับเอาไว้และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่ม มากขึ้นเนื่องจากชั้นบรรยากาศที่ถูกทำลาย

รายงานกล่าวว่าความไวในการรับรังสี UV ของผู้ชายมีมากกว่าผู้หญิง อัตราความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังจึงมีสูงกว่า ในปัจจุบันจึงให้ความสำคัญของการป้องกันรังสี UV เนื่องจากผลกระทบที่มีต่อทั้งผิวสวยและสุขภาพร่างกาย

ผลเสียของ รังสี UVA

เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว พลังงานต่ำ ทำให้ผิวหนังมีสีคล้ำ แดง เป็นรังสียูวีที่พบในชีวิตประจำวัน ลอดผ่านกระจกและเมฆ เข้าถึงภายในชั้นผิว เป็นสาเหตุที่นำไปสู่ "ความร่วงโรยของผิว" เช่น รอยเหี่ยวย่น, ผิวหย่อนยาน

ผลเสียของ รังสี UVB

เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นสั้น พลังงานสูง สามารถทำให้เกิดผิวไหม้ บวมแดง และหากได้รับรังสีเป็นระยะเวลายาวนาน อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ เป็นรังสียูวีในสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ เป็นสาเหตุของการคล้ำแดดกลางแจ้งส่งผลอย่างรุนแรงกับผิว ถ้าได้รับมากจะทำให้ผิวแสบแดงอักเสบและเป็นสาเหตุของฝ้ากระและความแห้งกร้าน

ค่า SPF คืออะไร

ค่า SPF หรือ Sun Protection Factor เป็นตัวระบุระดับการปกป้องผิวจากรังสี UVB หรือ ก็คือจำนวนเท่าของเวลาที่ผิวทนต่อรังสีอัลตราไวโอเลตนี้ได้หลังจากทาครีมกันแดดแล้ว ซึ่งโดยปกติผิวของเราจะรับมือกับแสงแดดโดยปราศจากครีมกันแดดได้ประมาณ 20-30 นาที ถ้าครีมกันแดดหรือผลิตภัณฑ์นั้นระบุไว้ว่า SPF30 ก็จะหมายถึง เราสามารถอยู่กลางแดดได้ประมาณ 30 x 30 = 900 นาที หรือ 15 ชั่วโมง โดยที่ผิวไม่ไหม้แดง แต่กระนั้นการคำนวณอาจคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากครีมกันแดดที่ทาบนผิวอาจลบเลือนไปเมื่อเหงื่อออก โดนน้ำ หรือทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดควรทาครีมซ้ำทุก 2 ชั่วโมง เพื่อให้ประสิทธิภาพในการป้องกันแดดเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

ทำไม SPF สูง ก็ไม่ได้ดีกว่าเสมอไป

โดยทั่วไป ครีมกันแดด SPF ประมาณ 15 ก็เพียงพอแล้วสำหรับคนทั่วๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในแถบเอเชียอย่างเรา แต่สำหรับคนที่ผิวไวต่อแดด หรือถูกผิวถูแผดเผาให้หมองคล้ำได้ง่ายนั้น ใช้ SPF 30 ก็ถือว่าเพียงพอที่จะปกป้องผิวได้แล้ว แต่ถ้าอยากใช้ที่มีค่า SPF เยอะกว่านี้ ก็ไม่ว่ากันค่ะ

spf

มาตรฐานการวัดค่า UVA

ค่าในการวัดความสามารถ ในการปกป้องรังสี UVA คือ IPD และ PPD ซึ่งความแตกต่างของค่าสองชนิดนี้ มีดังนี้...

1. IPD : เป็นการวัดความสามารถ ในการปกป้องรังสี UVA โดยทำการทดสอบเริ่มตั้งแต่ 1 นาทีแรก หลังจากที่ผิวหนังถูกแสงแดด จึงเสมือนเป็นการวัดรอยดำของเม็ดสีบนผิวหนัง แบบชั่วคราวเท่านั้น

2. PPD : เป็นการวัดความสามารถ ในการปกป้องรังสี UVA โดยทำการทดสอบหลังจากผิวหนัง ถูกแสงแดดเป็นระยะเวลา 2 ชั่งโมง จึงเป็นการวัดรอยดำของเม็ดสี ที่เกิดขึ้นอย่างถาวร

Facebook

ติดตามข่าวสารบน Facebook

หมายเลขติดต่อ

TEL: 02-8950383-5 , 02-4153470

สอบถามข้อมูลและขอใบเสนอราคา

ส่งแบบได้ทาง E-mail
TOP